:::::Fernando Sor
(ถอดความ/เรียบเรียงโดย อ.วรกานต์ -อ.อาร์ท- แสงสมบูรณ์)::::
ประวัติของ Fernando Sor กีตาร์และนักแต่งเพลงชาวสเปน เป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากต่อวงการกีตาร์คลาสสิค ผลงานการประพันธ์เพลง และแบบฝึกหัดในการเล่นกีตาร์ของเขาเป็นรากฐานที่สำคัญมาจนถึงปัจจุบัน บางท่านอาจจะเคยฟัง บางท่านอาจจะเคยเล่น บางท่านอาจจะเคยวิเคราะห์ และบางท่านอาจจะเคยสอนเพลงของนักดนตรีท่านนี้มาไม่มากก็น้อย ลองมาดูประวัติกันนะครับ บทความชิ้นนี้ ทาง Guitar Paradiso ได้รับความอนุเคราะห์จาก อาจารย์ อาร์ท หรือ อาจารย์วรกานต์ แสงสมบูรณ์ Chief Instructor ของ Yamaha Music Academy ขอขอบคุณบทความชิ้นนี้มา ณ ที่นี้อีกครั้งครับ
Fernanado Sor (1778-1839) นักกีตาร์และนักแต่งเพลงชาวสเปนเป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากต่อวงการกีตาร์คลาสสิก ผลงานการประพันธ์เพลง และแบบฝึกหัดในการเล่นกีตาร์ของเขาเป็นรากฐานที่สำคัญมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากผลงานสำหรับกีตาร์แล้ว เขายังประพันธ์งานที่มีความหลากหลายรูปแบบเช่น opera, orchestra, string quartet, piano, voice และ ballet อีกด้วย Sor ได้ทำการแสดงคอนเสิร์ตกีตาร์หลายแห่งในยุโรปเช่น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โปแลนด์ รัสเซีย
Fernando Sor เกิดที่เมืองบาเซโลน่าประเทศสเปนในตระกูลทหารที่มีฐานะร่ำรวย โดยที่ตัวเขาเองก็ต้องการที่จะดำเนินอาชีพทหารตามอย่างอีกด้วย แต่ความคิดของ Sor ก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อบิดาของเขาได้พาไปชม อิตาเลียน โอเปร่า ทำให้เขาตกหลุมรักต่อดนตรี และล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นทหาร ในเวลาต่อมา นอกจากโอเปร่าแล้ว Sor ยังได้รู้จักกีตาร์จากบิดาของเขาอีกด้วย โดยที่ในเวลานั้นกีตาร์นั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นตามร้านขาย เหล้าเล็กๆตามริมทาง และมีศักดิ์ศรีที่ด้อยกว่าเครื่องดนตรีในวงออร์เคสต้าชิ้นอื่นๆ
ในวัยเด็กพ่อแม่ของ Sor ค่อนข้างระมัดระวังในการที่จะให้เขาเรียนดนตรีไม่ให้มากจนเกินไปนัก เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อการเรียนวิชาภาษาลาตินของเขา ดังน้น Sor ที่ในขณะนั้นมีอายุน้อยมาก(น้อยกว่า 11 ขวบ) จึงได้เขียนผลงานเพลงที่เป็นภาษาลาตินซึ่งทำให้ผู้ปกครองของเขาภูมิใจมาก นอกจากนั้น Sor ยังได้คิดค้นวิธีการบันทึกโน้ตขึ้นเอง ก่อนที่จะได้รับการเรียนวิธีการบันทึกโน้ตดนตรีแบบมาตรฐานเสียอีก
เมื่อ Sor อายุได้ประมาณ 11 ปี ทางผู้นำขอโบสถ์ แห่งบาเซโลน่าได้มีความตั้งใจและมุ่งหวังที่จะให้ Sor ได้เรียนดนตรี แต่ด้วยความโชคร้ายอย่างมาก หลังจากที่เขาลงทะเบียนเรียนได้ไม่นาน บิดาของเขาก็เสียชีวิตลง โดยที่ไม่ได้เหลือเงินทุนสำหรับการเรียนดนตรีที่โบสถ์แก่เขาเลยอย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันนั้นเองที่สาธุคุณแห่ง Montserrat คือท่าน Joseph Arredondo ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวของ Sor และพรสวรรค์ของเขา จึงได้จัดหาเงินทุนให้แก่เขาเพื่อได้เรียนดนตรีที่ “Escolan?a”(โรงเรียนร้องประสานเสียง) ซึ่งเป็นอารามที่มีชื่อเสียงใน Montserrat (ผลงานของ Sor ในช่วงสิบปีสุดท้ายของชีวิตเขามักเป็นผลงานที่รำลึกถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กในตอนที่ได้ร่ำเรียนอยู่ในโบสถ์แห่งนี้)
Sor ได้ศึกษาดนตรีอยู่ในโบสถ์แห่งนี้เป็นเวลาไม่นานนักเพราะมารดาของเขานั้นเกรงว่า Sor จะล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับราชการทหารจึงตกลงใจให้ Sor ออกจากการเรียนดนตรีเพื่อเข้ารับราชการทหารตามคำแนะนำของเพื่อนๆของเธอ ซึ่งถึงแม้ว่าตัวของSor จะต้องออกจากการเรียนดนตรีแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาห่างจากดนตรีเลย เขายังคงฝึกฝนดนตรีอย่างสม่ำเสมอ
ในปี ค.ศ.1808 เมื่อ Napoleon Bonaparte ได้ทำศึกรุกรานมาถึงประเทศสเปน Sor จึงได้ประพันธ์ เพลงปลุกใจรักชาติ (nationalistic music) ขึ้นเพื่อใช้บรรเลงกับกีตาร์โดยมักให้กีตาร์เล่น accompanied กับเนื้อร้องแบบปลุกใจ โดย Sor นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีของทหารที่จะทำการเดินทางไปเล่นดนตรีปลุกใจตามที่ต่างๆ และเขายังได้รับการเลื่อนขั้นเป็นยศร้อยเอกใน Cordoba และทำการรบกับกองทัพฝรั่งเศสในเวลานั้นอีกด้วย แต่หลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพสเปน Sor กลับได้เข้ารับตำแหน่งในงานบริหาร กับกลุ่มผู้ยึดครองสเปนโดยทำงานให้แก่กลุ่มที่เรียกว่า afrancesado ที่ประกอบด้วยชาวสเปนที่ยอมจำนนต่อกองทัพฝรั่งเศสและคณะปฏิวัติของฝรั่งเศส
เหตุการณ์กลับพลิกผันอีกครั้งเมื่อสเปนสามารถขับไล่ฝรั่งเศสได้ในปีค.ศ.1813 ทำให้ Sor และกลุ่ม afrancesado คนอื่นๆต้องลี้ภัยไปยังประเทศฝรั่งเศสเพราะเกรงกลัวต่อการลงโทษและแก้แค้น ซึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมายังสเปนอีกเลยในเวลาที่เหลือของชีวิต
เมื่อมายังฝรั่งเศส Sor จึงละทิ้งทุกตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการทหารและเริ่มต้นการเป็นนักกีตาร์ และนักแต่งเพลงขึ้นอย่างเต็มตัว โดย Sor เริ่มเป็นที่รู้จักจากการได้ชื่อว่าเป็นนักกีตาร์ที่เก่งกาจ และเป็นนักประพันธ์เพลงสำหรับกีตาร์ แต่เมื่อเขาพยายามที่จะแต่งเพลงสำหรับโอเปร่า กลับไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มนักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส ผลงาน op.7 ของเขาเป็นงานที่มีขนาดใหญ่และค่อนข้างแปลก โดยมีการบันทึกลงบนกุญแจโน้ตสามแบบ และไม่มีนักกีตาร์คนไหนในยุคนั้นเล่นได้ เมื่อฝรั่งเศสไม่ตอบรับผลงานของเขา Sor จึงต้องการที่ไหนสักแห่งที่จะเข้าใจถึงดนตรีในแบบของเขา
ค.ศ. 1815 Sor เดินทางไปยังอังกฤษและพยายามที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา Sor เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยการเป็นนักกีตาร์ที่มีความสามารถและนอกจากนั้นยังได้ทำการสอนขับร้องอีกด้วย จนเมื่องานแบบ Ballet เริ่มได้รับความนิยมในอังกฤษในช่วงเวลานั้น Sor จึงเริ่มลงมือทำงานที่ชื่อ Cendrillon ซึ่งถือเป็นผลงาน Ballet ของเขาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Sor
ค.ศ.1823 Sor มีชื่อเสียงอยู่พอสมควรเมื่ออยู่ที่กรุง London แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังรัสเซียกับนางระบำที่ชื่อ F?licit? Hullen และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามปี ในช่วงเวลานี้ไม่ปรากฏข้อมูลที่เกี่ยวกับชีวิตของเขามากนักแต่ก็มีหลากหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของ Sor ในรัสเซียที่ถูกกล่าวถึงทั้งด้านความรักและการงานของเขาโดยบางเรื่องก็เกินจริงอยู่หลายเรื่องด้วยกัน หลังจากสามปีในกรุง Moskow Sor จึงได้ออกตระเวณทัวร์คอนเสิร์ตไปในหลายแห่งในยุโรป
ค.ศ. 1827 Sor ได้ตัดสินใจว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเขขาในการตั้งภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่งโดยเขาตัดสินใจที่จะพำนักอยู่ในกรุง Paris ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ประพันธ์เพลงสำหรับบรรเลงโดยกีตาร์เป็นหลัก Sor ยินยอมทำตามความต้องการของสำนักพิมพ์โดยการเขียนผลงานที่ไม่สลับซับซ้อนนักและไม่ใช้เทคนิคที่ยากมากนักในการเล่นเพื่อให้นักกีตาร์ทั่วไปสามารถเล่นได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณสิบปีสุดท้ายในชีวิตของเขาที่ได้เปิดเผยถึงความขมขื่นของเขาลงในงานประพันธ์ เช่นผลงาน op. 43 Mes Ennuis (สิ่งที่รบกวนจิตใจฉัน) ,งาน Ballets 6 ชิ้นที่แต่งขึ้นเพื่อ “ใครก็ได้ที่ต้องการงานเหล่านี้” และผลงาน op. 45 ที่แต่งขึ้นสำหรับผู้ที่ป่วยไข้ เป็นต้น
งานประพันธ์ชิ้นสุดท้ายของ Sor คือผลงาน Mass เพื่ออาลัยถึงบุตรสาวของเขาที่ได้เสียชีวิตลงในปี 1837 ซึ่งการเสียชีวิตของลูกสาวเขาทำให้Sor ขมขื่นและซึมเศร้าเจ็บป่วยหนักขึ้น จนเขาได้เสียชีวิตลงในปี 1839 ด้วยโรคมะเร็งที่ลิ้นและคอ
ผลงานของ Fernando Sor มีอยู่มากมาย โดยงานสำหรับการบรรเลงด้วยกีตาร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คืองานที่มีชื่อว่า “Introduction and Variations on a Theme by Mozart” op. 9 ซึ่งนำทำนองเพลงมาจากท่อน “O Cara Armonia” ของงาน The Magic Flute ที่ Mozart ได้ประพันธ์ขึ้นในปี 1791 เรื่อง The Magic Flute หรือ ขลุ่ยวิเศษ (เยอรมัน: Die Zauberfl?te, อังกฤษ: The Magic Flute) เป็นอุปรากรสององค์ที่เขียนโดยโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ทผู้เป็นคีตกวีคนสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในปี ค.ศ. 1791 จากเนื้อร้องที่เขียนโดยเอมานูเอล ชิคาเนเดอร์ “ขลุ่ยวิเศษ” เป็นอุปรากรแบบที่เรียกว่า ละครผสมเพลง (Singspiel) ซึ่งเป็นลักษณะที่นิยมกันที่มีทั้งบทร้องและบทพูด โดยมีเรื่องย่อดังนี้
พระเอกโดนแม่ของนางเอกหลอกให้ไปชิงตัวนางเอกจากลัทธิบูชาความรู้(freemason) แต่แท้จริงแล้วแม่ของนางเอกคือราชินีแห่งรัตติกาลผู้เป็นตัวแทนของความงมงาย และความไม่รู้ เมื่อพระเอกพยายามจะไปชิงตัวนางเอก จึงรู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วลัทธิบูชาความรู้แย่งตัวนางเอกมา เพื่อให้เธอหลุดจากความงมงายของแม่ของเธอ พระเอกผู้รักนางเอกเลยต้องเข้าลัทธิด้วยหากจะแต่งงานกับเธอ ซึ่งต้องผ่านด่านต่างๆเพื่อทดสอบเขาว่าเหมาะสมกับลัทธิหรือไม่ ซึ่งต้องต่อสู้กับกิเลสต่างๆมากมาย ผู้ช่วยพระเอกเป็นคนจับนก (bird catcher) ไม่สามารถผ่านขั้นต่างๆได้เพราะไม่มีวินัยและไม่เห็นคุณค่าของความรู้ แต่พระเอกผ่านได้ทุกขั้นและยังมีนางเอกอยู่เขียงข้างในการผ่านขั้นท้ายๆ อีกด้วย สุดท้ายพระเอกกับนางเอกก็เข้าลัทธิแห่งความรู้ด้วยกัน ขณะที่รัตติกาลก็พ่ายแพ้ให้กับแสงอาทิตย์แห่งความรู้ ส่วนคนเลี้ยงนกก็แต่งงานกับสาวชาวบ้านไปตามเรื่องและมีความสุขกับลูกเยอะแยะ ประมาณว่าไม่ต้องอยู่ในลัทธิก็มีความสุขได้…แต่จะไม่รับรู้ถึงความลึกซึ้งของ ความรู้และความงามของการเป็นมนุษย์